Integrity Legal - Law Firm in Bangkok | Bangkok Lawyer | Legal Services Thailand Back to
Integrity Legal

Legal Services & Resources 

Up to date legal information pertaining to Thai, American, & International Law.

Contact us: +66 2-266 3698

info@integrity-legal.com

ResourcesVisa & Immigration LawVisa Newsการทำงานแบบไร้ที่พำนัก (Digital Nomad) กำลังจะหมดยุคหรือไม่?

การทำงานแบบไร้ที่พำนัก (Digital Nomad) กำลังจะหมดยุคหรือไม่?

For the English transcript of this video, please go to the following link: 

https://www.legal.co.th/resources/visa-immigration-law/thailand-immigration-law/are-digital-nomads-dying-breed/

วีดีโอเรื่องนี้จะตั้งคำถามว่าการทำงานแบบไร้ออฟฟิศหรือที่พำนัก หรือที่เรียกว่า digital nomad กำลังจะหมดยุคหรือเปล่า? ทำไมผมถึงถามอย่างนี้? มีการพูดคุยกันเยอะพอสมควร คือว่า คำว่า digital nomad เป็นคำที่กำลังฮิตอยู่ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งผมก็จะถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่าผู้คนเข้าใจความหมายของคำนี้จริงๆหรือไม่? ตัวผมเองคิดว่าสิ่งนี้เป็นกลยุทธ์ระยะยาวหรือเปล่า? ใช้คำว่ากลยุทธ์อาจจะไม่เหมาะ ใช้คำว่า “ปรากฏการณ์” อาจจะดีกว่า ผมขอพูดให้ชัดเจนหน่อยว่าเพราะเหตุใดผมจึงพูดถึง digital nomads ผมว่าในอีก 10-15 ปีข้างหน้า เราอาจจะมองย้อนกลับมาแล้วพูดว่า "ความคิดแบบนั้นแปลกประหลาดดี แล้วมันก็เป็นอะไรที่พังพาบลงไปเรียบร้อยแล้ว” ทำไมผมถึงพูดอย่างนั้น ?

ประการแรกคือ หลังจากที่โควิดผ่าพ้นไป ค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ในความคิดของผม โควิดโดยตัวของมันเองเป็นหมุดหมายการต่อต้านการเป็น digital nomads ในอนาคต เพราะเหตุใด? โลกในช่วงหลังโควิด จะเสมือนกับมี ดาบแห่ง Damocles แขวนอยู่เหนือหัวทุกคนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าการเดินทางไปต่างประเทศอาจจะถูกปิดลงทั้งหมด ประเทศทั้งหลายจะปิดไม่ให้เข้าเลย แม้กระทั่งประเทศบ้านเกิดของตัวเองด้วยก็เป็นได้ มันเป็นข้อกำหนดในการเดินทางที่โง่และไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย และไม่เอื้อต่อแนวคิดในเรื่อง digital nomads แต่อย่างใดอีกด้วย และในความเป็นจริง ผมมองว่าปรากฏการณ์ digital nomad เป็นผลพลอยได้อย่างหนึ่งในจุดสูงสุดของโลกาภิวัตน์ ซึ่งผมคิดว่าเราได้ผ่านจุดนั้นไปแล้ว และกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ผมไม่ได้พูดว่าการเดินทางจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ผมเชื่อว่าจะมีหลายคนรุมถล่มผมในช่องแสดงความเห็นถ้าผมพูดอย่างนั้น พวกเขาจะตั้งคำถามว่า "หมายความว่ายังไง? คุณคิดว่าเราจะเดินทางไม่ได้อีกแล้วหรือ?" นั่นไม่ใช่ประเด็นของผม แต่สิ่งที่ผมกำลังจะพูดคือ การออกเดินทางตระเวนจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่งอย่างไม่มีสิ้นสุดนั้น คงไม่ใช่วิถีชีวิตที่เป็นไปได้มากเกินไปในภายภาคหน้า นอกจากนี้ มีหลายประเทศที่เริ่มเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในเรื่องระเบียบวิธีการเข้าเมือง ในช่วงหลังโควิด แทบจะมองไม่เห็นถึงฉากทัศน์ที่ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการเดินทางจะง่ายขึ้นกว่านี้ โดยเฉพาะในบริบทของผู้คนที่ใช้ชีวิตโดยการเดินทางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จริงอยู่ ผมก็มั่นใจว่าคงจะมีประเทศบางกลุ่มที่อาจจะผ่านเข้าออกได้โดยง่าย ซึ่งก็คงจะมีวิวัฒนาการไปตามกาลเวลา แต่ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่วิปริต 

สิ่งที่ผมเคยพูดไว้ในวีดีโอม้วนอื่นและผมเห็นหลายคนในอินเทอร์เน็ตคุยเรื่องการใช้ชีวิตแบบ digital nomad พวกเขาพูดกันว่า มันไม่ได้เป็นวิถีชีวิตที่เยี่ยมยอดหรอก และผมเคยดูวีดีโอหลายเรื่องในหัวข้อว่า "เหตุผลที่หยุดการใช้ชีวิตเป็น digital nomad" ประมาณนี้ ผู้คนจำนวนมากที่พูดถึงเรื่องนี้ก็พูดเหมือนๆกันว่า มันไม่ใช่วิถีชีวิตที่ยั่งยืน คำว่า "ยั่งยืน" ก็เป็นคำที่ตอนนี้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง ซึ่งมันก็ไม่ใช่จริงๆ มันทำให้ผมนึกถึงภาพยนต์เรื่อง Up in the Air ที่นำแสดงโดย George Clooney ซึ่งเขาจะใช้เวลา 2 ใน 3 ของแต่ละปีมีชีวิตอยู่ในห้องพักของโรงแรมและในสนามบิน เขาชื่นชอบกับการกะทำแบบนี้มาก แล้วก็มีผู้คนอีกมากที่ชอบการใช้ชีวิตแบบอาศัยอยู่ในสนามบินช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งผมไม่ได้หมายถึงผู้คนเหล่านั้น พวก digital nomad ก็ชอบแบบนั้นเหมือนกัน แต่การเลือกวิถีชีวิตแบบนั้น เป็นอะไรที่ผมได้เฝ้าดูชาวต่างชาติหลายคนที่พยายามต่อสู้ดิ้นรนกับการอยู่แบบเร่ร่อน แล้วในที่สุดก็ยอมแพ้และเปลี่ยนฐานะเป็นนักท่องเที่ยวที่พำนักระยะยาว โดยที่เขาอาจจะไปเที่ยวหลายแห่ง และอยู่แห่งละประมาณ 3 เดือน แต่ละคนจะมีฐานของตัวเองหรือไม่ก็จะย้ายเข้าไปอยู่ในประเทศนั้นเลย ผมเคยพูดไว้ในวีดีโอก่อนๆว่า ผมเองก็มีทัศนคติที่จะย้ายประเทศเหมือนกัน หลังจากที่ผมอาศัยอยู่ที่นี่แล้ว 2 ปีผมได้ตัดสินใจว่าที่นี่คือสถานที่ที่ผมจะทำตัวเหมือนอยู่ที่บ้าน และผมก็เริ่มทำตามข้อสันนิษฐานนั้น ขอพูดอีกครั้งว่าการเป็น nomad นั้นเป็นผลพลอยได้ของจุดสุดยอดของโลกาภิวัตน์ ซึ่งเวลานั้นได้ผ่านไปแล้ว

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระลึกอยู่เสมอคือ โลกเราตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว มีความขัดแย้งกันจำนวนมากเกิดขึ้นในแต่ละภูมิภาค และตอนนี้มีประเทศต่างๆกำลังจับกลุ่มกันเป็น block ต่างๆ  ซึ่งแต่ละ block ก็อาจจะไม่เป็นมิตรต่อกันนัก ดังนั้นยุคโลกาภิวัตน์จึงดูเหมือนจะจบสิ้นไปแล้ว และผมคาดว่าการใช้ชีวิตแบบ digital nomad ก็อาจจะจบไปด้วยเช่นกัน