Integrity Legal - Law Firm in Bangkok | Bangkok Lawyer | Legal Services Thailand Back to
Integrity Legal

Legal Services & Resources 

Up to date legal information pertaining to Thai, American, & International Law.

Contact us: +66 2-266 3698

[email protected]

ResourcesVisa & Immigration LawUS Immigration Lawหน่วยงาน DOGE ควรจะมองว่ากระบวนการวีซ่าประเภทคู่หมั้นนั้นเป็นเรื่องซ้ำซ้อนอย่างยิ่ง

หน่วยงาน DOGE ควรจะมองว่ากระบวนการวีซ่าประเภทคู่หมั้นนั้นเป็นเรื่องซ้ำซ้อนอย่างยิ่ง

For the English transcript of this video, please go to the following link:

https://www.legal.co.th/resources/visa-immigration-law/us-immigration-law/doge-should-look-k-1-visa-processing-especially-redundant/

วีดีโอเรื่องนี้จะกล่าวถึงหน่วยงานที่ดูแลประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐ  และตอนนี้เราอยู่ในห้วงเวลาก่อนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเริ่มทำงานประมาณ 1 สัปดาห์ ดังนั้นเราจึงยังต้องรอดูต่อไปว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่เรารู้แน่ๆคือ นาย Elon Musk และ นาย Vivek Ramaswamy ดูเหมือนจะเอาจริงเอาจังกับการขจัดความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐจำนวนมากออกไป และตัดค่าใช้จ่ายจำนวนมากของรัฐบาลลงด้วย ผมเคยทำวีดีโออีกม้วนหนึ่งพร้อมๆกับเรื่องนี้-แต่อาจจะออกสื่อไปก่อน–ซึ่งได้พูดถึงเรื่องการไร้ประสิทธิภาพนี้ว่าเป็นส่วนที่มีอยู่อย่างแพร่หลายทั่วไปในระบบงานการเข้าเมืองสหรัฐฯ โดยเฉพาะในบริบทของ USCIS กับ กระทรวงความมั่นคงของมาตุภูมิ ถ้าหากนำมาพิจารณาควบคู่กันไปกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯและสถานทูตสหรัฐฯในที่ต่างๆทั่วโลกแล้ว บอกตามตรงเลยว่า สิ่งที่พวกเขาทำนั้นมันซ้ำซากน่ารำคาญอย่างยิ่งสำหรับผม

ขั้นตอนในการพิจารณาคำร้องที่ถูกส่งไปยังสถานทูตและสถานกงสุลโดยผ่านทางศูนย์วีซ่าแห่งชาตินั้น ซึ่งเราเคยพูดไว้แล้วในวิดีโอม้วนอื่นว่า ศูนย์วีซ่าแห่งชาติจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในการพิจารณาคำร้องวีซ่าคู่สมรส แต่จะไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญนักในกรณีของวีซ่าคู่หมั้น และในความเป็นจริง พวกเขาจะทำงานเหมือนกับเป็นหน่วยคัดแยกเอกสาร หรือเป็นไปรษณีย์สำหรับคำร้องเหล่านั้นก็ว่าได้ เมื่อคำร้องออกจากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ จะมาถึงศูนย์วีซ่าแห่งชาติและถ้าเป็นวีซ่า K-1 ประเภทคู่หมั้น ก็จะถูกส่งไปที่สถานทูตต่างๆ สถานทูตจะดำเนินการต่อเอกสารเหล่านั้น และทำการสัมภาษณ์ การดำเนินการต่อเอกสารเหล่านั้นมันเป็นการทำงานซ้ำซ้อน เพราะมันเป็นเอกสารที่ผ่านการพิจารณาโดย USCIS เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมเคยพูดไว้แล้วในวีดีโอเรื่องอื่น ผมคิดว่าความซ้ำซ้อนนี้ควรที่จะต้องถูกกำจัดออกไป และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า DOGE จะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในระบบงานการเข้าเมืองของสหรัฐฯ

ขอวางเรื่องนั้นไว้ก่อน ผมคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ซ้ำซ้อนอย่างยิ่ง นั่นก็คือ USCIS ในบริบทที่เกี่ยวกับวีซ่า K-1 หรือวีซ่าประเภทคู่หมั้น –โดยคำจำกัดความแล้ว วีซ่า K-1 เป็นวีซ่าชั่วคราว และถึงแม้ว่าจะเป็นวีซ่าประเภท ”เจตนาคู่” แต่เพราะคุณมีความตั้งใจที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ด้วยเจตนาที่จะขอเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป คุณสามารถที่จะอยู่ในสหรัฐฯได้เพียง 90 วัน ซึ่งบุคคลผู้นั้นจำเป็นที่จะต้องทำการสมรสและดำเนินการยื่นขอปรับสถานะ และในช่วงนั้นเอง เขาจะต้องได้รับการวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่งโดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมในขั้นตอนแรกจึงต้องมีการพิจารณาคำร้องโดย USCIS ในเมื่อกำลังจะส่งใบคำร้องขอวีซ่าไปยังสถานทูต และผู้ยื่นคำร้องก็จะต้องลงเอยด้วยการไปยื่นขอปรับสถานะกับ USCIS อีกครั้งหนึ่งอยู่ดี ผมมองว่ามันซ้ำซ้อนโดยสิ้นเชิง และเฉพาะในกรณีของวีซ่า K-1 ประเภทคู่หมั้น ผมหวังว่าองค์กร DOGE จะมองเห็นประเด็นนี้ ผมหวังว่าองค์กรนี้จะมองเห็นว่า-ขั้นตอนกระบวนการทำงานของวีซ่า K-1 นี้ เป็นความซ้ำซ้อนอย่างยิ่ง และวีซ่า K-1 ประเภทคู่หมั้นก็ไม่ได้ให้สิทธิที่จะอยู่อาศัยอย่างถาวรด้วย ผมคิดว่าคุณสามารถโต้แย้งได้ ถ้าคุณกำลังจะออกวีซ่าถาวรประเภทคู่สมรส - ซึ่งผู้ถือวีซ่าประเภทนี้จะได้รับสถานะเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรที่ถูกต้องตามกฎหมายทันทีที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ–ผมก็เห็นว่าจะเกิดความซ้ำซ้อนอยู่สูงมากทีเดียว เพราะคุณต้องการที่จะตรวจสอบคัดกรองบุคคลเหล่านั้น ดังนั้น บางทีคำร้องในกรณีดังกล่าวจะต้องถูกตรวจสอบคัดกรองโดย USCIS แต่ในกรณีของวีซ่า K-1 ประเภทคู่หมั้น สามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯได้สูงสุดไม่เกิน 90 วัน พร้อมทั้งจำเป็นต้องทำการสมรสและไปยื่นคำร้องขอปรับสถานะ ซึ่งผู้ยื่นจะถูกวินิจฉัยโดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิอยู่ดี; จะต้องถูกวินิจฉัยโดย USCIS เพราะฉะนั้นทำไมถึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดในเบื้องต้นด้วย? ทำไมถึงไม่ทำกรณีของวีซ่า K-1 แบบนี้ คือตัดสินชี้ขาดที่สถานทูตหรือที่สถานกงสุลในต่างประเทศและเมื่อผู้ถือวีซ่าไปยื่นคำร้องขอทำกรีนคาร์ดหลังจากเดินทางเข้าสหรัฐฯแล้ว จึงถึงเวลาที่จะต้องถูกตรวจสอบโดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิโดยตรง? ในความคิดของผม เมื่อเปรียบเทียบกับระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน  การทำแบบนี้จะลดเวลาในการดำเนิการตามขั้นตอนต่างๆลงได้มาก และจะลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลลงด้วย ถึงที่สุดก็คือลดค่าใช้จ่ายของคนอเมริกันผู้เสียภาษีนั่นเอง