Integrity Legal - Law Firm in Bangkok | Bangkok Lawyer | Legal Services Thailand Back to
Integrity Legal

Legal Services & Resources 

Up to date legal information pertaining to Thai, American, & International Law.

Contact us: +66 2-266 3698

[email protected]

ResourcesCorporate and Tax AdvisoryThailand Tax Lawทำไมรัฐบาลของประเทศไทยถึงต้องไล่ล่าห่านทองคำ?

ทำไมรัฐบาลของประเทศไทยถึงต้องไล่ล่าห่านทองคำ?

For the English transcript of this video, please go to the following link:

https://www.legal.co.th/resources/visa-immigration-law/thailand-immigration-law/why-thai-government-golden-goose-chase/

อย่างที่ผมเคยพูดไว้ในวีดีโอม้วนอื่นว่าผมกำลังจะทำอะไรบางอย่างที่นี่ ผมหวังว่าวันนี้ไมโครโฟนคงใช้ได้ดี แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็ช่วยอดทนหน่อยนะครับ ผมได้เรียกช่างเข้ามาช่วยดู ด้วยแล้ว ถ้าสัปดาห์นี้ผมยังจัดการกับไมโครโฟนไม่ได้ ผมจะซื้อไมโครโฟนใหม่ หากผมยังคิดที่จะทำวีดีโอประเภทข่าวสารสาระนี้ต่อไปนะครับ

วีดีโอเรื่องนี้ตั้งหัวข้อว่า "เพราะเหตุใดรัฐบาลไทยจึงต้องไล่ล่าห่านทองคำ?" แล้วผมขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ผมคิดจะทำวีดีโอเรื่องนี้หลังจากที่ผมได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ Pattaya Mail, pattayamail.com, ซึ่งในบทความได้มีการพูดถึงบริษัท Integrity legal ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้อ้างอิงถึงวิดีโอที่ผมทำไว้ ขอแสดงความคารวะต่อหนังสือพิมพ์ Pattaya Mail, ขอบคุณมากที่มีการกล่าวถึงเรา และผมคิดในแง่ดี จึงขอแนะนำให้ผู้ชมวีดีโอเรื่องนี้กลับไปอ่านบทความนั้นอีกครั้ง เดี๋ยวผมจะใส่ลิงค์ในวีดีโอเรื่องนี้ ซึ่งโดยปกติเราจะเอาข่าวขึ้นอ่านหน้าจอแต่ตอนนี้ผมทำคนเดียวและทำอย่างไม่เป็นทางการ ผมจึงจะนำลิงก์ใส่ไว้ด้านล่างของวีดีโอนี้เพื่อที่คุณจะได้เข้าไปอ่านบทความที่ผมกล่าวถึงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนี้ได้  

ขอเริ่มอีกครั้งหนึ่งคือ ผมคิดจะทำวีดีโอเรื่องนี้หลังจากที่ผมได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ Pattaya Mail, pattayamail.com, หัวข้อว่า: Thai Tax reform and the Golden Goose การปฏิรูปภาษีของประเทศไทยและห่านทองคำ ขอยกข้อความโดยตรงจากบทความดังนี้: "ยังไม่มีโฆษกของรัฐบาลสักคนเลยที่จะออกมาให้การรับรองหรือแม้แต่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอของกรมสรรพากร" (คำว่า Revenue เป็นการเรียกสั้นๆของชาวอังกฤษเมื่อพูดถึงกรมสรรพากร เพราะที่อังกฤษชื่อเต็มๆจะเรียกว่า Inland Revenue Service ก็เลยเรียกสั้นๆว่า Revenue) กล่าวต่อจากบทความ: "ข้อเสนอที่รุนแรงสุดโต่งของกรมสรรพากรที่จะเรียกเก็บภาษีรายได้ที่มาจากทั่วโลก ถึงแม้จะมีการถกเถียงเรื่องนี้ครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิถุนายนของปีที่แล้ว" ดังนั้น จึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย; แต่พวกเราได้มีการคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง เขาว่ากันว่าทางรัฐบาลต้องการที่จะทำให้กฎหมายของประเทศไทยมีความประสานกลมกลืน และพวกเขาพูดถึงเรื่องนี้ทั้งหมดในแง่ของความสัมพันธ์กับ OECD ซึ่งเมื่อผมยิ่งศึกษาเกี่ยวกับ OECD มากขึ้น ผมว่าประเทศไทยไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยในการที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มนี้ ถ้าทั้งหมดนี้หมายความว่า เราจะต้องทำระบบภาษีของเราให้ประสานกลมกลืนไปกับเขา และสร้างตัวที่อยู่เหนืออำนาจรัฐขึ้นมาเพื่อเรียกเก็บภาษีที่นอกเหนือกว่าขอบเขตอำนาจของชาติ ผมไม่ได้มีปัญหากับอำนาจในการเก็บภาษีของทั้ง 2 ประเทศของผม – คือสหรัฐฯ กับ ประเทศไทย – มันคือไอ้ตัวที่อยู่เหนืออำนาจรัฐตัวนี้ เมื่อใดก็ตามที่ข้อตกลงที่เป็นสากลจะกลายเป็นกลไกทางกฎหมายซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถที่จะเรียกเก็บภาษีได้ทั้งภายในชาติและกับประเทศอื่นๆ เมื่อนั้นแหละที่ผมจะเริ่มมีปัญหากล่าวต่อ: "กรมสรรพากรของประเทศไทยจะมีระเบียบวิธีปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงในการขึ้นอัตราภาษีของชาติ แต่คำเตือนของบริษัท Integrity Legal ที่เตือนว่า อาจเป็นการทำให้ “ห่านทองคำ” ตกอยู่ในสภาวะที่เป็นอันตรายของการฆ่าตัวตาย ทำให้เห็นถึงภัยคุกคามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการที่รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรียังคงนิ่งเงียบ ในขณะที่ชาวต่างชาติหลายคนขู่ว่าจะยกเลิกการพำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย และระบบเศรษฐกิจของชาติก็ยังมีปัญหาที่จะต้องหาทางฝ่าฟันต่อไป ตอนนี้จำเป็นจะต้องมีการอภิปรายกันอย่างเหมาะสม เพราะมันเกินกำหนดเวลามานานแล้ว” ผมคงต้องพูดว่า มันไม่จำเป็นต้องมีการอภิปรายอะไรเลย เพียงแต่เราไม่ต้องไปปรับเปลี่ยนกฎระเบียบใดๆของเราเท่านั้น 

หนึ่งเหตุผลที่รายได้ของกรมสรรพากรตกต่ำก็เป็นเพราะได้ปิดเศรษฐกิจลง 2 ปีครึ่งด้วยเหตุผลซึ่งเมื่อกลับมาทบทวนก็คือ การพูดเกินเลยความความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่จริงๆแล้วมันก็คือโรคหวัดที่รุนแรงหรือไข้หวัดใหญ่นี่เอง นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น และการที่เศรษฐกิจถูกปิดลงก็เพราะเราไปฟังไอ้ตัวที่อยู่เหนืออำนาจรัฐ เช่นองค์กรอนามัยโลก (WHO) ที่ใช้วิธีของคอมมิวนิสต์มาเป็นตัวนำ เราควรจะจดจำสิ่งนี้ไว้ในใจ นั่นคือปัญหาที่เกิดขึ้น วิธีแก้ปัญหาไม่ใช่การเก็บภาษีเพิ่มครับ ซึ่งตอนนี้ไปมากกว่านั้น ดังนั้นผมจึงคิดที่จะทำวีดีโอนี้เมื่อผมอ่านบทความเกี่ยวกับห่านทองคำ ผมกำลังทีจะลงลึกในรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษี แต่ผมก็ปล่อยผ่านไปก่อนเพราะจริงๆแล้ว เรายังไม่ถึงจุดนั้น; รัฐบาลยังไม่มีการออกกฎหมายใดๆ แล้วผมก็หวังว่าคงจะไม่มีการอภิปรายต่อด้วย ขอให้วางเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วก็ดำเนินการจัดเก็บภาษีต่อไปตามวิธีที่ปฏิบัติกันมา อย่างไรก็ตาม มันก็มีวิธีที่จะเพิ่มรายได้ของประเทศไทยให้มากขึ้นก็คือเก็บภาษีจากกัญชา ในความคิดของผม นั่นคือวิธีการแก้ปัญหาของประเด็นเหล่านี้ เรามีพืชเศรษฐกิจตัวใหม่แล้ว ก็สร้างภาษีสรรพสามิตตัวใหม่ขึ้นมาเลย ผมไม่ว่าอะไรเลย คุณจะสร้างภาษีอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ แต่เก็บภาษีจากพืชตัวนี้นั่นแหละ

นอกจากนี้ การที่จะพยายามแสวงหาห่านทองคำในรูปของชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย ผมก็ว่าแย่พอแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาพยายามที่จะแสวงหาห่านทองคำในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีกด้วย ผมคิดจะทำวีดีโอเรื่องนี้หลังจากที่ผมได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post, bangkokpost.com, หัวข้อว่า:Minister aims to levy 300 Baht Tourism Tax รัฐมนตรีตั้งใจจะเก็บภาษีนักท่องเที่ยว 300 บาท ขอยกข้อความโดยตรงจากบทความดังนี้: "รัฐมนตรีการท่องเที่ยวคนใหม่ ตั้งใจที่จะเริ่มเก็บภาษีนักท่องเที่ยว 300 บาท หลังจากความคิดนี้ถูกขึ้นหิ้งไว้ในช่วงรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน" ผมชอบตรงนี้มากที่สุด หมายความว่า ความคิดนี้ถูกมองว่าเป็นความคิดที่ไม่ดี ซึ่งก็จริง และรัฐบาลชุดที่แล้วก็เอาขึ้นหิ้งไว้ แต่ตอนนี้ ฝ่ายบริหารชุดที่แล้วหมดวาระลง และมีฝ่ายบริหารชุดใหม่ ซึ่งขอพูดเพิ่มเต่มว่า ฝ่ายบริหารชุดที่แล้วตกไปเพราะมีความคิดที่ไม่ค่อยฉลาดในหลายๆเรื่อง ในความคิดของผมนะครับ ถึงแม้จะมีเรื่องจริยธรรมเป็นประเด็นโจมตีนายกรัฐมนตรีคนที่แล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกที่เห็นได้ชัดเจนเกิดขึ้นอีกด้วยเช่น การที่จะนำตำรวจจีนมาลาดตระเวนตามท้องถนน – คือโดยรวมแล้ว หลายคนมองว่านโยบายต่างๆที่กระทบต่อความรู้สึกเป็นความคิดที่ไม่ดีเลย และความคิดในรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งตอนนี้รัฐบาลชุดนี้นำมาใช้ นั่นก็คือความคิดเกี่ยวกับการเก็บภาษีนักท่องเที่ยว ซึ่งได้มีการพูดคุยกันมาเป็นเวลาประมาณ 5 ปีแล้วหรืออาจจะนานกว่านั้น ซึ่งตอนนั้นถูกมองว่าเป็นความคิดที่ไม่ดีและถูกขึ้นหิ้งไว้ แต่ตอนนี้ถูกนำกลับมาใช้อีกแล้ว กล่าวต่อจากบทความ: "ในขณะที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะกระตุ้นรายได้จากการท่องเที่ยวให้ได้อย่างน้อย 3ล้านล้านบาทในปีนี้" ผมว่าคุณอย่าไปยุ่งกับนักท่องเที่ยวดีกว่า ปล่อยให้เขานำเงินเข้ามาในประเทศเอง อาจจะเป็นความคิดที่ดีที่สุดนะครับ กล่าวต่อ: "รัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวในปี 2022 แต่ยังไม่ได้ลงในพระราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่เวลานั้นจนมาถึงตอนนี้" ผมหวังว่าคงจะเพราะมีการเกลี้ยกล่อม และตระหนักได้ว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี  กล่าวต่อ: "ทางกระทรวงจะนำมาศึกษาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่งและจะสรุปเรื่องขั้นตอนการเก็บเงินโดยหาวิธีที่จะไม่กระทบต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวให้เกิดความรู้สึกย่อท้อ" แค่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาและประกาศบังคับใช้โดยวิธีการใดก็ตามก็จะทำให้กระทบต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวให้เกิดความรู้สึกย่อท้อแล้วครับ คุณลองคิดดู เมื่อเราเก็บภาษี คือนักท่องเที่ยวเลือกที่จะเดินทางมา – ซึ่งผมไม่ได้ปลื้มกับนักท่องเที่ยวเสมอไปนะครับ; คือไม่ค่อยชอบนักท่องเที่ยวบางคนที่เข้ามา และคิดว่าทุกคนจะต้องคุกเข่าให้พวกเขา จริงอยู่ เราต้อนรับขับสู้ ; เราชอบให้นักท่องเที่ยวมาที่นี่ มันเป็นสิ่งที่ดีมากเมื่อมีนักท่องเที่ยวรายใหม่ๆค้นพบประเทศไทย; ผมคิดว่าทุกคนรู้สึกอย่างนั้นตราบเท่าที่พวกเขายังมีความเคารพยำเกรง  แต่อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวก็นำเงินเข้าประเทศ พวกเขาทำโดยความสมัครใจ และทำเพราะโดยนัยของการมีประเทศไทยอยู่ในโลกใบนี้ การที่มีประเทศไทยอยู่บนโลกนี้ทำให้คนอยากมาประเทศไทย; เขาอยากไปเที่ยวชายหาดหรือสถานที่ต่างๆแล้วจับจ่ายใช้สอย เราไม่ควรจะทำให้เขาย่อท้อโดยการเก็บภาษีที่สนามบินทันทีที่ก้าวเข้ามาในประเทศ มันเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมหรือ? เป็นนโยบายที่ยอดเยี่ยมเหรอ? ผมคิดว่าไม่นะครับ และขอพูดตรงๆ ผมคิดว่ารัฐบาลชุดที่แล้วคิดถูกแล้วที่เอาความคิดนี้ขึ้นหิ้ง เพราะเขาไม่คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีนั่นเอง